• /int
  • /eu
  • /uk
  • /au
  • http://www.axi.group/ar-ae
  • http://www.axi.group/en-ae
  • http://www.axiedge.site/en-my
  • http://www.axiedge.site/cn
  • http://www.axiedge.pro/chn
  • /es-mx
  • /fr-ma
  • http://www.edge-cn.co/id
  • /it-ch
  • /jp
  • /kr
  • /pl
  • /pt
  • /th
  • /tw
  • http://www.axiedge.website/vn
  • /zh-au
  • /za
  • http://www.solarisih.com/vu
Form not found

การซื้อขาย CFD คืออะไรและมีวิธีการซื้อขาย CFD อย่างไร

Education /
Milan Cutkovic
CFD Trading Guide

CFD คืออะไร

CFD ย่อมาจาก "Contract for Difference" หรือ "สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง" โดยเป็นอนุพันธ์ทางการเงินประเภทหนึ่งที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเก็งกำไรการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์อ้างอิงต่างๆ ได้ เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน หรือดัชนีโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงจริงๆ

 

ตลาด CFD คืออะไร

ผลิตภัณฑ์และสินทรัพย์ที่หลากหลายสามารถซื้อขายเป็นสัญญาซื้อขายส่วนต่างได้ CFD ประเภทหลักในตลาดนี้ได้แก่ 

  • ฟอเร็กซ์: ฟอเร็กซ์หรือ "FX" ย่อมาจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในขณะที่ "การซื้อขายฟอเร็กซ์" หมายถึงการซื้อหรือขายคู่สกุลเงินหลัก คู่สกุลเงินรอง และคู่สกุลเงินแปลกใหม่คู่สกุลเงินฟอเร็กซ์หลักประกอบด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, AUD/USD, USD/CAD และ USD/CHF คู่สกุลเงินรองประกอบด้วย EUR/GBP, GBP/JPY, GBP/CAD, CHF/JPY, EUR/AUD และ NZD/JPY คู่สกุลเงินเกิดใหม่เป็นการจับคู่ระหว่างหนึ่งใน 8 สกุลเงินหลักและสกุลเงินจากประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตหรือเกิดใหม่ เช่น AUD/SEK (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/โครนาสวีเดน), CAD/SGD (ดอลลาร์แคนาดา/ดอลลาร์สิงคโปร์) และ GBP/CZK (ปอนด์อังกฤษ/โครูนาสาธารณรัฐเช็ก)
  • หุ้น: ตลาดหุ้นเป็นที่ที่นักลงทุนสามารถซื้อและขายหุ้นของบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกคือตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบด้วยบริษัทกว่า 4,000 แห่งจากตลาดหลักทรัพย์เช่น NYSE (New York Stock Exchange), NASDAQ, AMEX และอื่นๆ เมื่อใช้ CFD คุณสามารถซื้อขายหุ้นได้หลากหลาย รวมถึงหุ้นที่มีการเติบโตสูงสุด (หุ้นที่มองว่ามีศักยภาพในอนาคตสูง) และหุ้นที่มีมูลค่า (หุ้นที่ถือว่ามีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง) หุ้นเติบโตยอดนิยม ได้แก่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของอเมริกา ซึ่งมักเรียกกันว่า FAANG: Facebook (META), Amazon (AMZN), Apple (AAPPL), Netflix (NFLX) และ Alphabet (GOOG)
  • ดัชนี: ดัชนีเป็น "ตะกร้า" ของหุ้นแต่ละตัวแต่เกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น ดัชนี S&P 500 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของหุ้นโดยรวมของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ดัชนี NDXT (NASDAQ-100 Technology Sector Index) จะวัดประสิทธิภาพของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ 100 แห่ง ดัชนีมักถูกจัดอันดับโดยสถาบันอิสระ เช่น FTSE Group, Deutsche Börse และ Standard & Poor's ดัชนีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดได้แก่ S&P 500, Dow Jones, NYSE ,NASDAQ และ FTSE 100
  • สินค้าโภคภัณฑ์: สินค้าโภคภัณฑ์เป็นวัตถุดิบทั่วไปที่ใช้ในการผลิตสินค้าอื่นๆ หรือซื้อขายในตลาดเปิดสินค้าโภคภัณฑ์สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่ สินค้าโภคภัณฑ์แบบอ่อนและสินค้าโภคภัณฑ์แบบแข็ง ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น กาแฟและโกโก้ ถือว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์แบบอ่อน ในขณะที่โลหะมีค่า เช่น ทองคำหรือโลหะเงิน และพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน ถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์แบบแข็ง
  • สกุลเงินดิจิทัล: สกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin, Ethereum และ Litecoin เป็นสกุลเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยเครือข่าย P2P แบบกระจายอำนาจที่เรียกว่าบล็อกเชนซึ่งแตกต่างจากเงินรูปแบบดั้งเดิมที่ออกโดยธนาคารกลาง โดยปกติแล้วสกุลเงินดิจิทัลจะไม่ได้รับการดูแลโดยรัฐบาลหรือสถาบันการเงิน และไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางทางการเงินในการดำเนินงานด้วย แต่เครือข่ายคริปโตจะได้รับการจัดการโดยผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและยืนยันการทำธุรกรรมต่างๆ
  • การเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO): การเสนอขายหุ้น IPO เป็นกระบวนการที่บริษัทเอกชนเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกและเชิญชวนให้นักลงทุนที่มีศักยภาพได้ซื้อหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ เมื่อซื้อขาย IPO ด้วยวิธี CFD คุณจะใช้สถานะ Long (ซื้อ) หรือ Short (ขาย) การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเลือกเปิดสถานะ Short (ขาย) หุ้น IPO ตามกลยุทธ์และผลการดำเนินงาน IPO ที่คุณคาดการณ์ได้

 

การซื้อขาย CFD คืออะไร

เมื่อซื้อขาย CFD คุณจะทำสัญญากับโบรกเกอร์เพื่อแลกเปลี่ยนส่วนแตกต่างในราคาของสินทรัพย์อ้างอิงระหว่างการเปิดและปิดสัญญา หากคุณเชื่อว่าราคาตลาดของสินทรัพย์นั้นๆ (เช่น สกุลเงินฟอเร็กซ์ หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์) จะเพิ่มขึ้น คุณก็สามารถเปิดสถานะ Long (ซื้อ) และหากคุณคาดว่าราคาจะลดลงคุณสามารถเปิดสถานะ Short (ขาย) ได้ กำไรหรือขาดทุนจะถูกกำหนดโดยส่วนแตกต่างในการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ในตลาดเปิด

 

การซื้อขาย CFD มีขั้นตอนอย่างไร

การซื้อขาย CFD ทำงานโดยช่วยให้คุณเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาของเครื่องมือทางการเงินโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงนั้น หากราคาตลาดของสินทรัพย์เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับการซื้อขาย CFD ของคุณ คุณก็จะทำกำไรได้

มีสองราคาที่ต้องดูในการซื้อขาย CFD ซึ่งก็คือ ราคา "ซื้อ" และราคา "ขาย" การดำเนินการที่คุณเลือกจะขึ้นอยู่กับว่าคุณคิดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง

  • สถานะ Long: สถานะ Long จะเกิดขึ้นเมื่อเทรดเดอร์ส่งคำสั่ง BUY (ซื้อ)เทรดเดอร์จะคาดหวังว่ามูลค่าสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเทรดเดอร์จะซื้อในราคาต่ำแต่ขายเมื่อราคาเพิ่มขึ้น
  • สถานะ Short: สถานะ Short เกิดขึ้นเมื่อเทรดเดอร์รู้สึกว่ามูลค่าของสินทรัพย์น่าจะลดลงและเลือกสถานะขาย

มาลองสำรวจแนวคิดนั้นโดยใช้ตัวอย่างกัน

  • ตัวอย่างการซื้อขาย CFD ทองคำ: คุณเห็นว่าทองคำมีราคาอยู่ที่ $1,820 ในปัจจุบัน ในขณะที่คุณติดตามข่าวตลาดและการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ คุณคาดการณ์ว่ามูลค่าของทองคำจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นคุณจึงเปิดสถานะ ‘Long’ โดยตั้งไว้ที่ราคาซื้อปัจจุบันของทองคำ สมมติว่าในช่วงเวลาของการปิดสัญญา ราคาทองคำได้เพิ่มขึ้นเป็น $1,901 ทิศทางตลาดตรงกับทิศทางการซื้อขายของคุณ ดังนั้นสถานะ CFD ของคุณจึงทำกำไรได้ อย่างไรก็ตาม หากราคาลดลงต่ำกว่าราคาซื้อเริ่มต้นของคุณ คุณก็จะขาดทุน
  • ตัวอย่างการซื้อขาย CFD หุ้น: หลังจากที่ Meta โพสต์รายงานรายได้ที่น่าผิดหวัง คุณเชื่อว่าบริษัทมีมูลค่าสูงเกินไปและนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการปรับฐานที่ลึกขึ้น แทนที่จะเป็นการเทขายชั่วคราว ดังนั้นคุณจึงตัดสินใจที่จะขายหุ้น Meta ที่ $250 หากราคาหุ้นของ Meta ยังคงลดลง การซื้อขายของคุณก็จะทำกำไร อย่างไรก็ตาม หากราคาของ Meta ดีดกลับขึ้นมาและเพิ่มสูงขึ้นกลับมามากกว่า $250 คุณก็จะขาดทุน

 

ทำไมต้องซื้อขาย CFD

ข้อได้เปรียบที่สำคัญของการซื้อขาย CFD คือการเข้าถึงตลาดและสินทรัพย์ที่หลากหลาย CFD ทำให้เทรดเดอร์สามารถเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินต่างๆ รวมถึงหุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงิน ทั้งหมดจากแพลตฟอร์มการซื้อขายเดียว ซึ่งหมายความว่า เทรดเดอร์สามารถกระจายพอร์ตการลงทุนและใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดที่แตกต่างกันได้ แม้ว่าตนจะไม่สามารถเข้าถึงสินทรัพย์เหล่านั้นได้โดยตรงก็ตาม ความสามารถในการซื้อขายด้วยมาร์จิ้นยังช่วยเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงอีกด้วย เพราะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมสถานะที่มีขนาดใหญ่ขึ้นโดยใช้เงินทุนที่น้อยลง ซึ่งอาจเพิ่มผลตอบแทนที่อาจได้รับ

หมายเหตุ: การเทรดด้วยเลเวอเรจยังสามารถส่งผลให้ขาดทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงควรยึดตามแนวทางการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด

การซื้อขาย CFD ยังมีความยืดหยุ่นและโอกาสในการทำกำไรจากทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง CFD ทำให้เทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะ Long (ซื้อ) หากคาดว่าราคาของสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น หรือเปิดสถานะ Short (ขาย) หากคาดการณ์ว่าราคาจะลดลง ซึ่งหมายความว่าเทรดเดอร์อาจทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ทำให้พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากสภาวะตลาดที่แตกต่างกันได้

 

วิธีซื้อขาย CFD

ทุกคนที่เปิดบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์ออนไลน์สามารถซื้อขาย CFD ได้ เมื่อสร้างบัญชีแล้ว คุณสามารถใช้คำแนะนำทั่วไปต่อไปนี้เพื่อช่วยเตรียมการซื้อขาย CFD มาตรฐานได้:

  1. เลือกสินทรัพย์: เลือกเครื่องมือทางการเงินที่คุณต้องการซื้อขาย เช่น หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงิน
  2. เลือกสถานะ: เลือกว่าคุณคิดว่าราคาของสินทรัพย์ที่คุณเลือกจะเพิ่มขึ้น (Go Long) หรือลดลง (Go Short) หากคุณคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้น คุณก็สามารถเข้าสู่สถานะ Long และหากคุณคาดว่าราคาจะลดลงคุณสามารถเข้าสู่สถานะ Short ได้
  3. กำหนดขนาดการซื้อขายของคุณ: ระบุจำนวนหน่วย CFD ที่คุณต้องการซื้อขาย โดยปกติแล้ว CFD จะมีการซื้อขายเป็น "ล็อต" โดยที่แต่ละสัญญาจะแสดงขนาดหน่วยเฉพาะของสินทรัพย์อ้างอิงนั้นๆ
  4. ตั้งค่าเลเวอเรจของคุณ: เลเวอเรจช่วยให้คุณสามารถควบคุมสถานะการซื้อขายที่ใหญ่ขึ้นด้วยจำนวนเงินทุนที่ค่อนข้างน้อย แต่สิ่งสำคัญคือ คุณต้องทราบว่าเลเวอเรจสามารถเพิ่มทั้งผลกำไรและการขาดทุนได้
  5. เฝ้าดูตลาด: ใช้แพลตฟอร์มการซื้อขายที่โบรกเกอร์ของคุณให้ไว้เพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ตามเวลาจริง แพลตฟอร์มการซื้อขาย CFD มักจะมีเครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยวิเคราะห์และตรวจสอบตลาด
  6. ส่งคำสั่งซื้อขาย: เมื่อคุณพร้อมที่จะเข้าสู่ตลาด ให้ส่งคำสั่งซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มการเทรด คุณจะระบุประเภทการเทรด (ซื้อหรือขาย) ขนาดการเทรด และข้อกำหนดเพิ่มเติมที่แพลตฟอร์มกำหนด นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้เครื่องมือเช่น Stop-loss และ Take-profit เพื่อล็อกผลกำไรและลดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
  7. คอยดูสถานะของคุณ: เมื่อการซื้อขายของคุณได้รับการดำเนินการแล้ว ให้เฝ้าดูสถานะของคุณและติดตามการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ หากการเทรดของคุณไม่ได้กำหนดวันหมดอายุ คุณก็สามารถเลือกที่จะปิดสถานะได้ทุกเมื่อตามกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ

 

ข้อดีของการซื้อขาย CFD:

  • การเข้าถึงตลาดหลายแห่ง: การซื้อขาย CFD ช่วยให้สามารถเข้าถึงตลาดที่หลากหลาย รวมถึงหุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน และอื่นๆ ซึ่งให้โอกาสในการซื้อขายที่มีศักยภาพมากมาย
  • การซื้อขายเลเวอเรจและมาร์จิ้น: คุณสามารถใช้เลเวอเรจในการเทรด CFD ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์ควบคุมสถานะที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง จุดนี้จะขยายผลกำไร (และการขาดทุน) ที่อาจเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้มีความยืดหยุ่นในแง่ของการจัดสรรเงินทุนด้วย
  • สถานะ Long และสถานะ Short: CFD ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถใช้ประโยชน์จากทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง เมื่อใช้สถานะ Long เทรดเดอร์อาจได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาที่เพิ่มขึ้นในขณะที่สถานะ Short อาจช่วยให้พวกเขาทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ลดลง
  • ความสามารถในการป้องกันความเสี่ยง: CFD สามารถใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเพื่อชดเชยการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในพอร์ตการลงทุนที่มี ด้วยการเปลี่ยนสถานะตรงข้าม เทรดเดอร์สามารถลดความเสี่ยงและปกป้องการลงทุนของตนได้
  • ไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์อ้างอิง: การซื้อขาย CFD ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริงๆ และไม่จำเป็นต้องมีการลงทุนล่วงหน้ามหาศาลที่จำเป็นสำหรับการเป็นเจ้าของและค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บสินทรัพย์จริงที่อาจเกิดขึ้น (เช่น สินค้าโภคภัณฑ์อย่างถังน้ำมันหรือไซโลเก็บธัญพืช)
  • ขนาดการซื้อขายที่ยืดหยุ่น: CFD มีความยืดหยุ่นในการเลือกขนาดการซื้อขาย ช่วยให้เทรดเดอร์ปรับแต่งสถานะให้เข้ากับความเสี่ยงและเป้าหมายได้
  • การดำเนินการที่รวดเร็วและสะดวกสบาย: การซื้อขาย CFD สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย โดยอาศัยแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ ทำให้เข้าถึงตลาดได้ทันทีและมีการเสนอราคาแบบตามเวลาจริง
  • เข้าถึงตลาดทั่วโลกได้อย่างกว้างขวาง: การซื้อขาย CFD ให้การเข้าถึงตลาดทั่วโลก ทำให้เทรดเดอร์สามารถกระจายพอร์ตการลงทุนและอาจเพิ่มโอกาสในการค้นหาการซื้อขายที่ทำกำไรได้
  • มีเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงให้ใช้: แพลตฟอร์ม CFD มักมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น คำสั่ง Stop-loss และคำสั่ง Take-profit เพื่อช่วยเทรดเดอร์จัดการและจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
  • รับเงินปันผล: เทรดเดอร์มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลหากถือสถานะ Long ในหุ้นหรือดัชนีหุ้นบางตัว การปรับเงินปันผลจะเป็นลบก็ต่อเมื่อเทรดเดอร์มีสถานะ Short

 

ข้อเสียของการซื้อขาย CFD:

  • ความเสี่ยงต่อความผันผวน: CFD สามารถซื้อขายสินทรัพย์ที่มีความผันผวนได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความผันผวนของราคาอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของตลาดอย่างฉับพลันอาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนอย่างมาก หรือทำให้เกิดการแจ้งเตือนระดับมาร์จิ้น
  • เลเวอเรจเพิ่มการขาดทุน: ในขณะที่เลเวอเรจสามารถเพิ่มผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ก็สามารถทำให้ขาดทุนมากขึ้นได้เช่นกัน การเทรดด้วยเลเวอเรจจะเพิ่มความเสี่ยงของการขาดทุนอย่างมาก เพราะการขาดทุนนั้นอาจมีมูลค่ามากกว่าการลงทุนในตอนแรก
  • ความเสี่ยงของโบรกเกอร์: การเทรด CFD ต้องทำผ่านโบรกเกอร์หรือสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้เทรดเดอร์มีความเสี่ยงจากคู่สัญญา หากโบรกเกอร์ล้มเหลวหรือล้มละลาย ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนหรือประสบปัญหาในการถอนเงิน เทรดเดอร์ควรตรวจสอบวิเคราะห์สถานะของโบรกเกอร์ และเลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาต มีการกำกับดูแล และมีชื่อเสียง
  • ค่าธรรมเนียมและค่าบริการ: โบรกเกอร์ CFD บางรายอาจมีค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการที่ไม่คาดคิด เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดหาเงินทุนข้ามคืน ค่าคอมมิชชั่น หรือค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์ม เทรดเดอร์ควรตรวจสอบโครงสร้างค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์ที่เลือกอย่างรอบคอบเพื่อทำความเข้าใจต้นทุนการซื้อขายทั้งหมด
  • การซื้อขายมากเกินไปและการตัดสินใจด้วยอารมณ์: การเข้าถึงการซื้อขาย CFD สามารถนำไปสู่การซื้อขายมากเกินไปและการตัดสินใจด้วยอารมณ์ การซื้อขายแบบหุนหันพลันแล่นจะใช้อารมณ์มากกว่ากลยุทธ์ที่คิดมาเป็นอย่างดี และอาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์การซื้อขายที่ไม่ดี
  • โครงสร้างการตั้งราคาที่ซับซ้อน: ราคา CFD ในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอาจมีความซับซ้อนและอาจไม่สะท้อนราคาที่แน่นอนของสินทรัพย์อ้างอิงนั้นๆ เสมอไป ปัจจัยต่างๆ เช่น สเปรด ค่าคอมมิชชั่น และค่าใช้จ่ายทางการเงินอาจส่งผลต่อการกำหนดราคา ส่งผลให้เทรดเดอร์ต้องเข้าใจโครงสร้างการกำหนดราคาของ CFD
  • ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบสำหรับการเทรด CFD นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหรือข้อจำกัดที่กำหนดโดยหน่วยงานที่มีอำนาจสามารถส่งผลกระทบต่อความพร้อมใช้งาน ขีดจำกัดเลเวอเรจ หรือแง่มุมอื่นๆ ของการซื้อขาย CFD
  • ขาดความเป็นเจ้าของและสิทธิ์ในการโหวต: เทรดเดอร์ CFD ไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงนั้นจริงๆ และไม่มีสิทธิ์โหวตในบริษัทที่เกี่ยวข้อง

 

ความแตกต่างระหว่างการซื้อขาย CFD และการซื้อขายธรรมดา

ทั้ง CFD และการซื้อขายธรรมดา (ตัวอย่างเช่น การซื้อหุ้น) ล้วนทำให้เข้าถึงการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญบางอย่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้

เมื่อคุณซื้อขายหรือลงทุนในหุ้น คุณจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์โดยตรง ซึ่งมักจะเป็นหุ้นของบริษัท ในกรณีนี้ คุณสามารถทำกำไรได้โดยการขายหุ้นของคุณในราคาที่สูงกว่าตอนที่ซื้อมาเท่านั้น

การซื้อขาย CFD ทำให้คุณซื้อขายเฉพาะการเคลื่อนไหวของราคาเท่านั้น ดังนั้นคุณจึงสามารถใช้ Long (ซื้อ) หรือ Short (ขาย) เครื่องมือในตลาดโลกที่หลากหลายได้ เช่น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ฟอเร็กซ์ และดัชนี สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถทำกำไรหรือขาดทุนจากความผันผวนของราคาในตลาดได้โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงจริงๆ

ความแตกต่างที่สำคัญอีกประการระหว่างทั้งสองการซื้อขายนี้คือการใช้เลเวอเรจ CFD เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเลเวอเรจ ซึ่งหมายความว่าคุณได้วางเงินทุนจำนวนเล็กน้อยที่จำเป็นในการเปิดสถานะการซื้อขายเต็มรูปแบบ จากนั้นจึงยืมส่วนที่เหลือจากโบรกเกอร์ของคุณ สิ่งนี้ช่วยให้คุณใช้เงินจำนวนเล็กน้อยเพื่อสร้างผลตอบแทน (หรือการขาดทุน) ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในการซื้อขายหุ้น คุณจะใช้เงินของคุณเองเพื่อซื้อหุ้นและคุณจะต้องจ่ายราคาล่วงหน้าเต็มจำนวน

การซื้อขาย CFD

การซื้อขายธรรมดา

ใช้เลเวอเรจ จ่ายราคาล่วงหน้าเต็มจำนวน
ตลาดหลากหลาย ตราสารทุนและ ETF
คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง กรรมสิทธิ์ในสินทรัพย์อ้างอิง
ใช้สถานะ Short และรับประโยชน์เมื่อราคาลดลง ไม่มีตัวเลือกเพื่อรับประโยชน์จากราคาลดลง
ไม่มีสิทธิพิเศษสำหรับผู้ถือหุ้น สิทธิพิเศษของผู้ถือหุ้นและสิทธิ์โหวต
ไม่ต้องเสียอากรแสตมป์ แต่ผลกำไรต้องจ่ายภาษีเงินผลได้จากการลงทุน คุณจ่ายอากรแสตมป์และภาษีกำไรจากเงินทุนสำหรับผลกำไรของคุณ
ตัวเลือกในการป้องกันความเสี่ยงในการซื้อขาย การป้องกันความเสี่ยงต้องใช้อนุพันธ์ (ออปชัน ฟิวเจอร์ส และ ETF ผกผัน)

ฉันจะจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย CFD อย่างไร

ในการซื้อขาย คุณอาจมีกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในโลก แต่หากไม่มีการจัดการความเสี่ยง การทำกำไรในระยะยาวก็เป็นเรื่องยาก ตลาดมีความผันผวน ดังนั้นการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็น

5 เครื่องมือและเคล็ดลับการบริหารความเสี่ยง

  1. ใช้ Stop-loss: Stop-loss คือระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งระบบจะปิดการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อถึงราคาที่ตั้งไว้ ซึ่งเหมือนกับตาข่ายความปลอดภัย หากการซื้อขายไม่เป็นไปอย่างที่คุณคิด โดยช่วยให้แน่ใจว่าจะไม่ขาดทุนเกินกว่าจำนวนเงินที่คุณเต็มใจจะเสีย
  2. ใช้ Take-profit: หากต้องการรักษาผลกำไรของคุณก่อนที่ตลาดจะเปลี่ยนไปคนละทิศทางกับที่คุณคิด ให้กำหนดระดับ Take-profit และเมื่อตลาดมาถึงจุดที่กำหนด การซื้อขายของคุณก็จะปิดโดยอัตโนมัติและล็อกผลกำไรของคุณ
  3. ใช้ Trailing Stop: Trailing Stop ได้รับการออกแบบมาเพื่อจำกัดการสูญเสียและล็อกผลกำไร ให้มองว่าเป็น Stop-loss ที่มีความยืดหยุ่นเพิ่มเติม โดยตั้งอยู่ในระยะที่กำหนดจากราคาปัจจุบันและขยับขึ้นและลงตามตลาด
  4. ปรับขนาดล็อตของคุณ: ขนาดมีความสำคัญในการซื้อขาย ยิ่งสถานะใหญ่ ผลตอบแทนที่อาจได้รับก็ยิ่งมาก แต่ยังมีความเสี่ยงสูงขึ้นด้วย เพื่อช่วยกำหนดขนาดการซื้อขายที่เหมาะสม ให้คำนึงว่าคุณยินดีที่จะขาดทุนมากน้อยเพียงใดหากการซื้อขายไม่สร้างประโยชน์ต่อคุณ
  5. ใช้เครื่องคำนวณการซื้อขาย: ใช้เครื่องคิดเลขออนไลน์ฟรีเพื่อช่วยตั้งค่าการซื้อขายของคุณ:
    เครื่องคำนวณมาร์จิ้น: ดูว่าต้องใช้มาร์จิ้นเท่าใดในการเปิดสถานะ
    เครื่องคำนวณกำไร/ขาดทุน: เครื่องมือนี้ช่วยประมาณการกำไรและขาดทุน รวมถึงตั้งค่าระดับ Stop-loss และ Take-profit
    เครื่องคำนวณ Pip: ประเมินผลกำไรหรือขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นตามการเคลื่อนไหวของ Pip


 

พร้อมที่จะเทรดในความได้เปรียบในแบบของคุณหรือยัง?

เข้าร่วมกับเทรดเดอร์หลายหมื่นรายและซื้อขายหุ้น CFD ในฟอเร็กซ์ หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงินดิจิทัล!

 

 

ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำ หรือข้อเสนอในการซื้อหรือขาย หรือการชักชวนเกี่ยวกับข้อเสนอในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเครื่องมือทางการเงินใดๆ หรือให้เข้าร่วมในกลยุทธ์การซื้อขายใดๆ ข้อมูลนี้ได้รับการจัดเตรียมโดยไม่ได้พิจารณาถึงวัตถุประสงค์ สถานการณ์ทางการเงิน หรือความต้องการของคุณ การอ้างอิงผลการดำเนินงานในอดีตและการคาดการณ์ต่างๆ ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่น่าเชื่อถือสำหรับผลในอนาคต Axi ไม่รับรองและไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อความถูกต้องและความสมบูรณ์ของเนื้อหาในสิ่งพิมพ์นี้ ผู้อ่านควรหาคำแนะนำด้วยตนเอง

FAQ


การซื้อขาย CFD ได้รับอนุญาตในประเทศของฉันหรือไม่

บางประเทศไม่อนุญาตให้มีการซื้อขาย CFD หากประเทศที่พำนักอาศัยของคุณไม่ปรากฏในแบบฟอร์มใบสมัครออนไลน์ในตอนที่สร้างบัญชีซื้อขาย คุณก็จะไม่สามารถซื้อขาย CFD ได้


การซื้อขาย CFD ปลอดภัยหรือไม่

เช่นเดียวกับเครื่องมือทางการเงินหรือการลงทุน การซื้อขาย CFD นั้นมีความเสี่ยง การใช้เลเวอเรจสามารถทำให้ CFD มีความเสี่ยงมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ใช้เลเวอเรจ เช่น หุ้นจริง ก่อนที่คุณจะเริ่มซื้อขายด้วยบัญชีจริง คุณควรทำความคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ฝึกฝนในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความเสี่ยง และเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยง


ปริมาณขั้นต่ำที่ฉันสามารถซื้อขายสำหรับผลิตภัณฑ์ CFD คือเท่าใด

ขนาดการซื้อขายขั้นต่ำสำหรับบัญชี Standard และ Pro กับ Axi คือ 0.01 ล็อต อย่างไรก็ตาม จำนวนนี้อาจเปลี่ยนแปลงโดยขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่คุณกำลังซื้อขาย 


CFD และออปชันต่างกันอย่างไร

ออปชันและ CFD มีลักษณะเหมือนกันบางอย่าง ทั้งคู่สามารถให้เลเวอเรจที่สูงและ ความยืดหยุ่นสามารถใช้สำหรับการป้องกันความเสี่ยงและการเก็งกำไรได้ แต่ก็มีความแตกต่างจุดใหญ่บางอย่างระหว่างทั้งสองอย่างนี้ เมื่อคุณซื้อ CFD คุณตกลงที่จะแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคาตั้งแต่ตอนที่คุณเปิดการซื้อขายจนถึงตอนที่คุณปิดการซื้อขาย ออปชันให้สิทธิ์แก่เทรดเดอร์ (แต่ไม่ใช่ภาระผูกพัน) ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่แน่นอนในอนาคต ออปชันมีความยืดหยุ่นมากกว่าและเทรดเดอร์สามารถสร้างกลยุทธ์ที่ซับซ้อนโดยใช้เครื่องมือเหล่านี้


CFD และฟิวเจอร์สต่างกันอย่างไร

CFD แสดงการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ ซึ่งทำให้นักลงทุนเห็นภาพที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่เกิดขึ้นในขณะที่ใช้สถานะเปิดอยู่

เมื่อเทรดเดอร์ตกลงที่จะทำสัญญาฟิวเจอร์ส พวกเขาตกลงที่จะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาและวันที่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในอนาคต ซึ่งเป็นสัญญาที่จะดำเนินการในอนาคตและราคาที่ตั้งไว้จะไม่เปลี่ยนแปลง โดยไม่คำนึงถึงการเคลื่อนไหวของมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ ผู้ซื้อสัญญาฟิวเจอร์สจะต้องดำเนินการสินทรัพย์อ้างอิงเมื่อสัญญาหมดอายุ ดังนั้นผู้ขายสัญญาจะมีภาระผูกพันในการจัดหาสินทรัพย์ในวันที่ตกลงกันไว้

ฟิวเจอร์สจะดำเนินการตามราคาที่กำหนดโดยตลาด เนื่องจากมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ในขณะที่ CFD จะดำเนินการตามราคาที่กำหนดโดยโบรกเกอร์ ดังนั้นจึงคาดกันว่าความสมบูรณ์ของราคาจะสูงกว่าในกรณีของฟิวเจอร์สเมื่อเปรียบเทียบกับ CFD

พูดง่ายๆ ก็คือฟิวเจอร์สถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่าและมีโครงสร้างชัดเจนมากกว่า CFD


ระยะเวลาสัญญาของ CFD คือเท่าใด

จุดที่สัญญา CFD ครบกำหนดเรียกว่าวันที่โรลโอเวอร์ของสัญญา CFD วันหมดอายุของสัญญาฟิวเจอร์สถือเป็นวันสุดท้ายที่คุณสามารถซื้อขายสัญญานั้นได้   

ก่อนที่สัญญาจะหมดอายุ เทรดเดอร์ฟิวเจอร์สจะมี 3 ทางเลือก คือ ออฟเซ็ตหรือชำระบัญชีสถานะ การชำระบัญชี หรือโรลโอเวอร์ โรลโอเวอร์คือเมื่อเทรดเดอร์ย้ายสถานะจากสัญญาหน้าเดือน (ใกล้วันหมดอายุ) ไปยังวันที่ทำสัญญาอื่นเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายหรือภาระผูกพันที่เกี่ยวข้องกับการชำระสัญญา การโรลโอเวอร์สัญญาคือกำไรสุทธิ 

หมายเหตุ: วันที่โรลโอเวอร์สัญญา CFD นั้นไม่ได้ใช้ได้กับผลิตภัณฑ์การซื้อขายเสียทั้งหมด 


CFD ดีกว่าหุ้นหรือไม่

การเลือกระหว่างการซื้อขาย CFD กับการลงทุนในหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน รวมถึงวิธีการและเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคน  

หุ้น CFD ช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากเลเวอเรจเมื่อทำการซื้อขายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งหมายความว่าคุณมีศักยภาพในการทำกำไรที่สูงขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง แม้ว่าวิธีนี้สามารถเพิ่มผลตอบแทนได้ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน การซื้อขาย CFD ช่วยให้เกิดความยืดหยุ่น คุณสามารถเปิดสถานะ Long (ซื้อ) เมื่อคุณคาดหวังว่าราคาจะสูงขึ้น หรือเปิดสถานะ Short (ขาย) เพื่อทำกำไรจากราคาหุ้นที่ตกต่ำ 

แต่สำหรับ CFD คุณจะไม่มีสิทธิ์โหวตและภาระภาษีอาจแตกต่างไปจากภาษีของหุ้นจริง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเทศที่คุณอยู่อาศัย 


ฉันสามารถซื้อขาย CFD กับ Axi ในตลาดใดได้บ้าง

Axi ให้การเข้าถึงตลาดที่หลากหลายสำหรับการซื้อขาย CFD โปรดดูตารางผลิตภัณฑ์ของเราเพื่อตรวจสอบรายการทั้งหมดของเครื่องมือการซื้อขาย CFD



Milan Cutkovic

Milan Cutkovic

Milan Cutkovic มีประสบการณ์ในการเทรดและการวิเคราะห์ตลาดทั้งฟอเร็กซ์ ดัชนี คอมโมดิตี้ และหุ้น มาเป็นเวลากว่าแปดปี เขายังเป็นหนึ่งในเทรดเดอร์รายแรกๆ ที่ได้รับการยอมรับเข้ามาใน Axi Select ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เฟ้นหาเทรดเดอร์มากความสามารถเพื่อนำมาพัฒนาให้เป็นมืออาชีพ

ควบคู่ไปกับการเป็นเทรดเดอร์ Milan เป็นผู้เขียนบทวิเคราะห์รายวันให้กับชุมชน Axi โดยใช้ความรู้ที่กว้างขวางเกี่ยวกับตลาดการเงินต่างๆ ในการจัดทำข้อมูลเชิงลึกและบทความแสดงความคิดเห็นที่เป็นเอกลักษณ์ เขาชื่นชอบการช่วยเหลือผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จในการเทรดมากขึ้น และแบ่งปันทักษะของเขาด้วยการจัดทำอีบุ๊คเกี่ยวกับการเทรดที่ครบรอบด้านและเผยแพร่บทความที่ให้ความรู้บนบล็อก Axi เป็นประจำ พอร์ทัลสื่อและหนังสือพิมพ์ระหว่างประเทศชั้นนำยังอ้างอิงผลงานของเขาอยู่บ่อยครั้งด้วย

Milan มักได้รับการอ้างอิงและกล่าวถึงในสื่อด้านการเงินต่างๆ มากมาย ทั้ง Yahoo Finance, Business Insider, Barrons, CNN, Reuters, New York Post และ MarketWatch

ทำความรู้จักกับเขาใน: LinkedIn


พร้อมที่จะเทรดในความได้เปรียบในแบบของคุณหรือยัง?

เริ่มการซื้อขายกับโบรกเกอร์ระดับโลกที่ได้รับรางวัล

ลองบัญชีทดลอง ฟรี เปิดบัญชีเทรดจริง